หากมองการตลาดในด้านการสื่อสารผ่านข้อความแล้ว ในบ้านเรา เหลียวหลังย้อนไปมองเมื่อสิบปีที่แล้ว วิวัฒนาการในการทำการตลาดผ่าน Text Message ที่ติดตามตัวนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังจะเห็นได้จาก ใครที่เกิดทันในยุคเดียวกับผม ก็จะมี เพจเจอร์ เป็นอุปกรณ์สื่อสารในการรับข้อความ ภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทย ผ่านเพจเจอร์ รับบริการข่าวสั้น ต่อมาเมื่อเพจเจอร์หายไป โทรศัพท์มือถือมีราคาถูกลง พฤติกรรมในการใช้งานด้าน text message เปลี่ยนจากการอ่านอย่างเดียวบน Pager กลายมาเป็นการโต้ตอบผ่านข้อความสั้น SMS ลองมาดูกันว่า พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ในการใช้งาน Text Messaging นั้น การตลาดต้องปรับตัวอย่างไร
จากเพจเจอร์ สู่โทรศัพท์มือถือหน้าจอขาวดำ ในช่วงแรกที่ใช้การรับส่งข้อความเป็นภาษาอังกฤษ การอ่านข้อความภาษาไทยยังไม่ดีนัก แต่เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาก้าวไปมากขึ้น ทำให้การตลาดเข้ามามีบทบาทในการส่งข้อความสั้นผ่าน SMS [Short Messaging Service] เป็นข่าว ข้อความสั้นๆ จนถึงยุคที่เปลี่ยนมาเป็นโทรศัพท์มือถือหน้าจอสี เริ่มมีการส่งข้อความแบบ MMS [Multimedia Messaging Service] จึงเริ่มมีการทำการตลาด แต่เป็นการตลาดผ่านการดาวน์โหลดต่างๆ ช่วงนั้นอินเทอร์เน็ตบนมือถือยังไม่เสถียรและช้ามาก แต่เมื่อเทคโนโลยีพร้อม จากการส่ง SMS โฆษณาเพื่อทำการตลาด มีการเปลี่ยนแปลงไป
จากการกดแป้นโทรศัพท์ตัวเลข 1-9 A-Z จะพิมพ์ไทยก็ยาก มาสู่การสะกดคำแบบ T9 ที่แม้จะพิมพ์ง่ายขึ้นแต่ก็ยังไม่คล่องตัว จนมาถึงการพิมพ์บนแป้นคีย์บอร์ดแบบ QWERTY บนมือถือหน้าจอสัมผัสและแป้นพิมพ์บน BlackBerry, iPhone, Android, Symbian นั้นทำให้การตลาด การโฆษณา การประชาสัมพันธ์เปลี่ยนไป พฤติกรรมการใช้งานของคนเราเปลี่ยนไป คนหันมาส่งข้อความ SMS กันมากขึ้น จำได้ว่าช่วงที่ใช้มือถือใหม่ๆ โปรโมชั่น SMS 60 ข้อความ ใช้หมดเกลี้ยง 100 ข้อความหมดเกลี้ยง เพราะส่งเป็นภาษาอังกฤษ
การทำโฆษณาผ่าน Text Messaging จะต้องพิจารณาจากพฤติกรรมการใช้งานของคนเรา หลังจากที่ Social Network เข้ามามีบทบาทมากขึ้น การใช้อีเมล์ กลายเป็นทูลหลักในการสื่อสาร จากเมื่อก่อนที่เราใช้อีเมล์บนคอมพิวเตอร์ มาสู่การใช้งานบนมือถือพร้อมระบบ Push ที่รวดเร็ว บางทีตอบเมล์เร็วกว่าตอบ SMS เสียอีก
ตัวอย่างคือ ช่วงพักเที่ยง ทานข้าว ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะโทร หรือ SMS หากันว่า กินร้านนี้นะ จองโต๊ะไว้แล้ว
นัดกับเพื่อน ที่โรงอาหารมหาวิทยาลัย ทำไมไม่โทร ทำไมไม่ส่ง SMS แต่ใช้ Facebook Message
แต่ทำไม ส่ง Facebook Message??? เพราะพฤติกรรมผู้ใช้งานเปลี่ยนไป
ถามว่า พฤติกรรมการใช้งานของเรา เปลี่ยนไปอย่างไร จากที่เคยส่ง SMS กลายเป็น BBM [BlackBerry Messenger] ส่งฟรีเพราะคิดค่าบริการจาก RIM และเครือข่ายผู้ให้บริการเป็นรายเดือนอยู่แล้ว ทำไมจะต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อส่ง SMS ถึงแม้จะข้อความละ 2 บาท หรือเป็นแพ็ค แต่ยังไง คนเราก็ไม่เสียเงินส่ง SMS เพิ่ม เพราะยังไงส่ง BBM ก็ฟรี (จริงๆ คือไม่ฟรี แต่คิดรวมในค่าบริการอยู่แล้ว) ดังนั้น พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของคนใช้ BlackBerry แรกๆก็คือ แทบจะไม่โทรออกเลย โดยเฉพาะการติดต่อกับคนที่ใช้ BlackBerry ด้วยกัน ดังนั้น BBM จึงมาตอบโจทย์ค่าโทรแพง บางคนใช้ BBM กับแฟน แทบไม่ต้องโทรหากัน แช็ตกันตลอด จ่าย 350 บาท
ข้อสังเกตจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ผมเปลี่ยนจาก BlackBerry เป็น Android และ iPhone เพื่อนๆที่ส่งข้อความหากันบ่อยๆบน BBM ก็จะติดต่อผมไม่ได้ วิธีการที่พวกเขาเปลี่ยน เพื่อที่จะติดต่อผมก็คือ ส่งเป็น Facebook Message แทนการส่ง SMS ถามว่า ทำไมพวกเขาไม่ส่ง SMS เหตุก็เพราะ ทุกคนรู้ว่า คนบน Social Network นั้น ยังไงก็ต้องเช็ก Facebook ตลอดเวลาอยู่แล้ว ทำไมจะต้องเสียเงินค่าส่ง SMS ด้วย แม้ว่าจะข้อความละ 2 บาทก็ตาม
ตอนนี้การสื่อสารเปลี่ยนไป เชื่อไหมว่า ทีมงานที่ทำ mkttwit, appreview รู้จักกันมาหลายเดือน เพิ่งจะขอเบอร์โทรกัน เพราะปกติจะติดต่อกันทางอีเมล์ Facebook Message, Twitter Direct Message อยู่แล้ว นี่คือการเปลี่ยนแปลง ที่พลิกจาก การขอเบอร์ โทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์มือถือ จนมีการล้อกันว่า จะขอบเบอร์สาวสมัยนี้ ต้องขอ BBM PIN หรือ Facebook, Email แทน
การสื่อสารเปลี่ยนไป แต่ยังเป็น Text Messaging คนที่ใช้ทวิตเตอร์ จะส่ง Direct Message ติดต่อกัน คุยกัน เหมือนเป็นการแช็ต การออนไลน์ MSN แทบไม่ได้ออน กลายเป็นออน GTalk, Palringo, Whatsapp คนไม่ส่ง SMS แต่ติดต่อกันทาง Facebook ไม่เช็กเมล์ ไม่ตอบเมล์ แต่ตอบ Twitter Direct Message [DM]
นักการตลาด ต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ รู้ว่าแอพไหนที่คนนิยม รู้ทันพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เปลี่ยนไป
ทั้งหมดนี้เกิดอะไรขึ้น หากนักการตลาดยังตามไม่ทัน หากแบรนด์ยังไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง มองการตลาดส่งข้อความ SMS บนมือถือ มองการทำโฆษณาผ่านแบนเนอร์ สมัยนี้ ต้องโฆษณาบน Facebook ต้องทำโฆษณาลงแอพบน iPhone, BlackBerry, Android, Symbian แทน
การเปลี่ยนแปลงของ Text Messaging จาก ICQ > Pager > SMS > MMS > Email >MSN > Gtalk > Twitter > Facebook จนมาถึงล่าสุด บริการ Facebook Messaging ที่เพิ่งเปิดตัวไป มันสื่อถึงอะไร SMS ใช้ได้กับทุกคน รวมทั้งคนต่างจังหวัดด้วย Mass มาก แต่ถ้าคนออนไลน์แล้ว SMS ไม่ใช่การสื่อสารที่พวกเขาเลือกเป็นอันดับต้นๆ ยกเว้นมือถือติดต่อไม่ได้เลย แล้วก็ส่ง SMS ไป เปิดเครื่องมาก็ติดต่อกลับ
บทความเกี่ยวกับ Text Message Marketing อย่าง 7 reasons why businesses can’t pass on this technology. เพิ่งจะเผยแพร่เมื่อปี 2009 ณ วันนี้คือปี 2010 จะเห็นได้ว่า นักการตลาดต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะอะไรก็ผ่านไปเร็ว เร็วมากจริงๆ ปีที่แล้วยังร้องเรียน SMS โฆษณาก่อกวน ปีนี้ร้องเรียน Tag Facebook แทน
หลังจากเดือน กันยายน 2009 ปีที่แล้ว BlackBerry ได้รับความนิยมในประเทศไทย การติดต่อผ่านการรับส่งข้อความ BBM เป็นบริการยอดฮิต มาพร้อมกับค่าบริการที่ 350 และ 650 บาท ใช้เน็ตไม่จำกัด นี่คือจุดเริ่มต้น จากเมื่อก่อน อินเทอร์เน็ตบนมือถือราคา 999 ไม่รวมภาษี ถือว่าแพงมาก ใครจะยอมจ่าย ซื้อแค่ 20 ชั่วโมงก็พอแล้ว ไม่มีใครออนไลน์ตลอดเวลาเพราะเปลืองเงิน ดังนั้นการออนไลน์จึงต้องกลับมาบ้าน แต่เมื่อการสื่อสารเปลี่ยนไป ค่าบริการอินเทอร์เน็ต 650 บาท เป็นจุดเด่นที่เรียกคนมาใช้บริการอินเทอร์เน็ตบนมือถือมากขึ้น การใช้งานบน BlackBerry ในการใช้งาน Twitter, Facebook จึงเปลี่ยนไป หลายๆคนเริ่มงดการส่งข้อความ SMS ไม่โทร แต่เปลี่ยนมาเป็น BBM แทน
ต้นปีนี้ ดีแทคกับการเปิดตัว iPhone 3G, 3GS กับค่าบริการในช่วง 590 บาท ใช้เน็ตไม่จำกัด ไม่ได้ต่างจาก 650 บาทมากนัก ดังนั้น การสื่อสารจึงเปลี่ยนไป ทุกคนใช้ Facebook ในการติดต่อ คอมเมนต์กัน ส่ง Facebook Message กัน รับส่งเมล์กันแทบจะเรียลไทม์ พร้อมการพัฒนาบริการ EDGE/Wi-Fi ที่ครอบคลุมมากขึ้น ทำให้บริการ Text Message เปลี่ยนจาก SMS เป็นการใช้งานบน Social Network มากขึ้น เพราะคีย์บอร์ดที่พิมพ์ง่าย คล่องตัวขึ้นมากกว่าการกดโทรศัพท์แบบเก่า
ดังนั้น ไม่แปลก หากมองไปทางไหน มีแต่คนเปิดหน้าจอ Facebook / Twitter กด BBM แทนที่จะพิมพ์ SMS มือหงิก อย่างแต่ก่อน Text Messaging นักการตลาดต้องมองการเปลี่ยนแปลงให้ออก SmartPhone แบบเดิมๆอยู่ไม่ได้แล้ว ถ้าไม่รองรับ Social Network ใหม่ๆ ทุกค่ายเน้นการแช็ต การส่งข้อความ โปรโมชั่นมือถือในการโทรเริ่มนิ่ง จากเมื่อก่อน 25 / 50 สตางค์ จนมาถึง 1 / 1.50 หรือ 2 บาท ก็แทบจะไม่ต้องใช้โทรออกเลย ทุกอย่างจะมาอยู่ที่การใช้งาน Social Network แทน