Google+ และ Facebook ในมุมมองของ @Yokekung

 

ภาพจาก http://mostviralmedia.com

เป็นเวลาเกือบ 1 สัปดาห์แล้ว ที่ได้ทดลองใช้ Google+ เรียกได้ว่า เข้าสู่โลกของ Google เต็มตัว อยู่บนมือถือ Android ก็เล่นบนแอพ ถ่ายรูป บนคอมก็ใช้ Picasaสำหรับผมใช้ Gmail เป็นหลัก เอาอีเมล์จาก Hotmail และ Windlowslive forward เข้ามาใน Gmail ให้หมด ผมซื้อเนื้อที่เพิ่มไว้ 20GB ดังนั้นจึงแทบไม่เคยลบสิ่งที่ผมชอบใน Google+ คงไม่ต้องบรรยายมากเพราะ Blogger คนอื่นๆก็เขียนไว้เยอะแล้ว


เอาความเห็นผม ในฐานะคนที่ใช้ Twitter เป็นหลัก Facebook เป็นรอง แต่ตอนนี้ Google+ เป็นหลัก (ติด นั่นแหล่ะ) เรียกได้ว่ากระแสของ Google+ มาแรงมาก บางคนบอกว่า ใช้ Google+ แล้วจะไม่เล่น Facebook เลยแต่สำหรับผมมองว่า ทุกอย่างคือการ Sharing เมื่อ Google+ เปิดตัวออกมา บรรดานักการตลาด อเจนซี่ทั้งหลายก็มองจำนวนของ Friends, Followers เช่นเดียวกับ Twitterสำหรับผมมองเป็นอีกโลกหนึ่งของการแชร์ ตอนแรกๆนี้ Google+ นับว่าเป็นสุดยอดของผม เพราะมันเป็นส่วนตัว แน่นอนว่าเพื่อนกลุ่มแรกๆคือกลุ่ม twitter ที่ใช้ gmail เป็นหลัก ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับ Gtalk Chat อยู่แล้วใช้ Gmail เป็นปกติ เพราะทั้งวันก็อยู่กับบริการ Google ใช้ Google Chrome ใช้ Google ค้นหาบนมือถือ การแชร์ของผม จึงมีอีกโลกใบหนึ่งที่สนุกและเพลิดเพลินกับเพื่อนๆ

หลายๆคนมองว่า ทำไมตัวตนผมบน twitter แตกต่างจาก Goole+ ก็เพราะผมเห็นว่า มันเป็นส่วนตัวมากๆๆๆๆๆๆๆๆ มากกว่า Facebook ที่มีเพื่อนพันกว่าคน แถม Facebook เองยัง Public เอามากๆ ส่วน Twitter นั้นมีเพื่อนร่วม 4 พันกว่าคน ยิ่ง public เข้าไปใหญ่ ดังนั้น การจะรั่ว จะหลุด อะไรบน Google+ ผมย่อมสะดวกกว่า อิอิ

หลายๆคนบอกว่าอยากจะปิด Facebook ไปเลย แต่ผมว่าผมไม่คิดแบบนั้นนะ เพราะผมจะเปิดไว้เหมือนเดิม แต่เข้าไปโพสน้อยลง หรือโพสจาก twitter ผ่าน selective tweet แทน เพราะอะไร ก็เพราะว่า Facebookสำหรับผม คือคนละโลกกับ Google+ เพราะใน Facebook คือ เพื่อนที่เรียน ตรี โท เพื่อนออฟฟิศเก่า เพื่อนที่เคยรู้จัก และเพื่อนที่ตามมาจาก Twitter รวมไปถึง อเจนซี่ต่างๆด้วย ดังนั้น การปิด Facebook หรือละเลย ก็เท่ากับการละเลย Friend และ Follower ของเราด้วย แล้วพวกเขาก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องตามเรามาใน Google+ ด้วยถ้าเราไม่ใช่คนดังเซเลปจริงๆ (ซึ่งผมไม่ใช่)

สำหรับในมุมของ Blogger นั้น ผมเขียน Blog แล้วแชร์บน Twitter, Facebook, Google+ นั่นคือ 3 โลกที่แตกต่างกันของผมแต่เมื่อใดก็ตามที่ Google+ มีคนเล่นเยอะขึ้น รก stream มีการ Flood ตอนนั้นก็จะเริ่มไม่น่าเล่น แต่ Google+ ไม่เหมือน twitter ไม่ชอบก็ unfollow หรือเบื่อก็ mute tag นั้นเพราะถ้าเบื่อ Google+ ก็สร้าง Circle ได้ เราก็อยู่ในวงของเรา คนอื่นก็อยู่ในวงคนอื่น ใครก็แชร์ในวงคนนั้น

Google Profile

พอ Google+ ออกมา ทำให้ผมต้องปรับโปรไฟล์ Gogole Profile เหมือนทำ Facebook Profile แหล่ะครับ อันที่จริงมันคือการแสดงตัวตนของเรา ว่าเราคือใคร ทำงานอะไร ที่ไหน มีความน่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด เรียกว่าพอ Google+ ออกมา จากที่เราเฉยๆกับ Google Profile เราต้องปรับให้ละเอียดและพร้อมกับการ Public มากขึ้น

ก่อกำเนิด Celeb บน Google+

หลายๆคน ทำงานเกี่ยวข้องกับโปรแกรมเมอร์ เกี่ยวกับ Google หลายๆคนทำงานด้านเซิร์ฟเวอร์ หันมาเขียนวิเคราะห์ Google+ กันเยอะมาก ผมยกให้เป็นปรากฏการณ์ blogger กันเลยทีเดียวเพราะไม่เคยมีบริการใดที่เปิดตัวมาแรงขนาดที่ว่า ทุกคนเขียนวิเคราะห์ Google+ กันหมด แม้แต่คนที่ปกติแทบไม่ได้เขียน Blog ก็เลยต้องเขียน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมไม่เขียนในช่วงแรกๆ เพราะคนเขียนเยอะแล้ว

อะไรดีกว่า??

ผมไม่เคยมองว่า Facebook เอ้าต์ Google+ ดีกว่า อะไรทำนองนี้ แต่ผมมองว่า ผมจัดกลุ่มเป็น “คนละโลก” กันเลย เพื่อนๆใน Facebook ไม่มีทางรู้ว่าผมทำอะไรบน Google+ วันก่อนผมทานข้าว โพส Google+แต่หลังจากนั้น เพื่อนโทรมาถามเรื่อง Facebook ว่าทำไมมันช้าจัง ผมก็บอกไปว่าตอนนี้ Facebook ช้า อืด แล้ว เค้ากำลังจะเปลี่ยนไปใช้ Google+ เร็วกว่า แต่อย่างที่ว่า คือผมเอะใจก็ตอนที่เพื่อนถามผมว่า กินข้าวหรือยัง กินที่ไหน ทั้งที่ผมเพิ่งโพส Google+ ไปเมื่อครู่ แสดงว่าคนที่เล่น Facebook หนักๆ จริงๆก็คงยังมีกลุ่มเพื่อนใน Facebook และยังไม่ยอมเปลี่ยนมาใช้ Google+ หากพวกเขาไม่มีกลุ่มเพื่อนที่สนใจเรื่องราวเหมือนๆกัน

หลายคนที่รู้จักบน Twitter กลายเป็นมา ผู้นำทางความคิดได้บน Google+ เพราะบางคน ไม่เคยเห็นแชร์อะไรบน twitter เลย อ่านอย่างเดียว แต่พอเล่น Google+ แชร์ตลอดเวลาเลย นี่คือความแตกต่าง แต่สำหรับผมนั้น ไม่ปิด Facebook แน่นอนเหตุผลแรกคือ ยังต้องทำงานร่วมกับอเจนซี่ แต่เราก็มีทางเลือกมากขึ้นกับ Google+ ในการนำเสนอ และเพื่อนใน Facebook ก็จะอยู่คนละโลกกับ Google+ หากเราไม่แชร์ ไม่โพส เพื่อนใน Facebook ที่ไม่ได้เล่น Google+ ก็จะไม่รู้ว่าเราทำอะไร ที่ไหน อย่างไรตามที่เล่าให้อ่านกัน ว่าเพื่อนถามว่ากินอะไร หรือยัง กินที่ไหน (เอ้าาา ก็เพิ่งจะโพสใน Google+ นี่หว่า) มันคนละโลกกันจริงๆ

สำหรับการเปิดตัว Facebook Group Chat และ VDO Calling ต้องบอกว่า มาช้าไปและเฉพาะกลุ่มเกินไป เพราะผมเอง แช็ตกับเพื่อนบน Facebook อย่างน้อยวันละคน บางวันไม่มีเวลา บางทีทักมาเราก็ไม่ได้ตอบ ไปแซตบน Google Talk แทน เพราะมี VDO Chat อยู่แล้ว ผมว่า Facebook ช้าไป เพราะ Facetime มันก็มีมานานแล้ว นี่การ Group Chat แบบนี้ก็อาจจะนำมาประยุกต้ใช้ในการทำงานก็ได้เช่นกัน สะดวกในการ meeting กัน แต่สำหรับผม กลุ่มที่เล่น facebook ไม่แช็ต บางคนปิดแช็ตด้วยซ้ำ ไม่เล่น Google Talk ผมก็ต้องออน Windows Live Messenger ไปคุยอยู่ดี

ผมว่าบางที Facebook อาจจะดู Public ไม่ส่วนตัวแล้ว ทำอะไรที่ไหน Public หมด แต่กับ Google+ ผมยังชอบนะ ชอบที่ความเป็นส่วนตัวมีมันมากอยู่ รอดูกันต่อไปครับ