เชื่อไหมว่า 30 เมษายน ของทุกปี Adecco กว่า 50 ประเทศทั่วโลก พร้อมใจกันจัดงานช่วยบัณฑิตจบใหม่ให้พร้อมก้าวสู่โลกของการทำงาน เป็น CSR ช่วยสังคมในยามเศรษฐกิจตกต่ำ
งานกะเทาะเปลือกเด็กจบใหม่ ครั้งที่ 2 จัดขึ้นเพื่อช่วยแนะนำ แนะแนวให้เด็กจบใหม่ได้รู้ศักยภาพในการทำงาน ความสนใจ ความถนัดของตนเอง รู้ว่าตัวเองชอบอะไร มีที่มาจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการว่างงานของประเทศสเปน ทำให้ Adecco กว่า 50 ประเทศทั่วโลก ยึดเอาวันที่ 30 เมษายน เป็นวันที่รณรงค์แนะนำการค้นหางานสำหรับเด็กจบใหม่ เพื่อให้เด็กจบใหม่มีงานทำ ดังนั้น Adecco ทั่วโลกต่างจัดกิจกรรมในวันที่ 30 เมษายนอย่างพร้อมเพรียงกันนั่นเอง
งานนี้มีเด็กจบใหม่ในระดับปริญญาตรีไม่เกิน 2 ปีมาร่วมฟัง และผมก็เป็นคนหนึ่งที่จบใหม่ เอ้ยย ไม่ช่ายยยยย จบมานานมากแล้ว T___T แต่มาฟังและบอกต่อครับ
เด็กจบใหม่หางานยากขึ้น เป็นปัญหาใหญ่ของตลาดแรงงาน ซึ่งมองดูในตลาดแล้วพบว่า เด็กจบใหม่มีเยอะ จำนวนเด็กจบใหม่ ไม่สอดคล้องกับตำแหน่งงานที่ต้องการประสบการณ์ในการทำงาน 1 – 2 ปี
ตอนนี้เด็กจบใหม่ ประมาณ 75 ล้านคนทั่วโลก กำลังดิ้นรนหางานทำ ในประเทศไทยนั้น จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ อัตราการว่างงานในเดือนมกราคม 2557 ต้นปีนี้เอง สูงถึง 0.9% เอาจริงๆจำนวนนี้ไม่ได้เยอะนะครับ ในต่างประเทศถ้าถึง 2% นี่ซีเรียสมากนะ แต่ถ้าตีเป็นจำนวนคนก็ประมาณ 361,000 คน โอ้ววว คนตกงาน 3 แสนคนเหรอเนี่ย ถ้ามองจริงๆ บัณฑิตจบใหม่ ดันมีจำนวนมากกว่าความต้องการแรงงานในตลาดน่ะสิ ผลิตบัณฑิตเยอะมาก แต่ตำแหน่งที่รองรับน้อย
ในงานมีกิจกรรมให้ร่วมสนุก ทั้งการค้นหาตัวเองผ่านไพ่ talent card ที่ทำให้เรารู้ว่า เราถนัดอะไร ความสนใจเป็นยังไง น่าจะทำงานในด้านไหน เป็นไกด์ให้คร่าวๆว่าควรหางานในฟิลด์ไหน
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม โค้ช แนะนำ แนะแนว พูดคุยเพื่อเค้นศักยภาพ ความสนใจ ความชอบ ความถนัด ทำให้เรารู้ว่าเราถนัดทำงานด้านไหน สาขาไหน บางครั้งเราอาจไม่ต้องจบตรงสาขาที่เรียน แต่ความชอบ ความสนใจเรามี เราก็สามารถพัฒนาตนเองได้ โดยคุยกับโค้ชรอบละครึ่งชั่วโมง
กิจกรรมที่น่าสนใจในงานก็คือ สัมมนาสร้างแรงบันดาลใจในสายอาชีพ ในหัวข้อดังนี้
• ความสำเร็จในสายอาชีพ
• วิธีสร้างแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จในสายอาชีพ
• วิธีเอาชนะอุปสรรคในการทำงาน
ดร.เอกพล ณ สงขลา ผู้บริหาร TMB แนะนำการทำงาน จบวิศวะ แต่ทำงานธนาคาร ในสายงาน consult กลยุทธ์องค์กร ค้นหาว่าตัวเองชอบอะไร บางครั้งการทำงานไม่จำเป็นต้องทำงานตรงกับสาขาที่จบมา
ดร.เอกพล บอกว่า ทุกคนคือประติมากรรมชิ้นเอก ยกตัวอย่าง MakeTheDifference ทำความฝันให้เป็นจริงได้ เช่นเด็กพิการ แต่ตั้งใจเขียนรูปด้วยปาก ขณะที่ตัวเขาพิการ พลังในตัวคุณเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้น ถ้าเราตั้งใจทำอะไร ก็ต้องทำให้ได้ แม้จะมีอุปสรรคก็ฝ่าฟันไปให้จนถึงจุดหมาย
ระบบการศึกษา พาเรามาถึงจุดหนึ่งเท่านั้น คนที่จบคนละสาขากับสายงานที่ทำ ไม่ตรงสาขา กลับทำงานได้ดีกว่าคนเรียนจบตรงสาขา ผมเห็นด้วยกับ ดร.เอกพลนะครับ การศึกษาไม่ใช่ทุกอย่าง พาเรามาได้แค่ระดับนึง สุดท้ายอยู่ที่ตัวเรา ทุกคนเริ่มนับ 1 ตอนทำงาน สิ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ จากนี้ไปไม่ใช่อดีต แต่สิ่งที่เราประสบความสำเร็จในชีวิตคือสิ่งที่เราประกาศและลงมือทำ
คนที่ประสบความสำเร็จอย่าง ดร.เอกพล ก็บอกว่า ตัวเขาเองก็ล้มลุกคลุกคลานหลายเดือนกว่าจะตั้งตัวได้ ถ้าก่อนหน้านี้ทำงานแลกเงิน กับขอพ่อแม่ แต่การทำงานแล้วได้เงินครั้งแรก เราจะภูมิใจ “อย่าไปท้อ” อยากให้สู้ปัญหา
คุณอรนุช ก็จบวิศวะเช่นกัน ปัจจุบันทำงานในสายการตลาด มองว่าผู้หญิงทำงานละเอียดอ่อน จุดเปลี่ยนคือตอนทำงานดีแทค ไปเจอลูกค้า corporate ทำให้รู้ว่าอยากพบเจอผู้คน ชอบการแก้ปัญหา และมีจุดเปลี่ยนในการทำเว็บไซต์ Thumbsup จากการเขียนบทความให้อาจารย์ แล้วฝึกเขียนเรื่อยๆจนรู้ว่าชอบเขียน สำหรับในการทำงาน อยากให้มีสติ ตั้งจิตให้มั่น ไม่หลุด เวลาเราท้อ ผิดหวัง ล้มเหลว ก็ลุกยืนขึ้นได้
คุณอรนุชบอกว่า ครอบครัวเขาก็เป็นคนจีน อยากให้ลูกเรียนหมอ วิศวะ เราก็ยังไม่รู้ว่าชอบอะไร พอตอนทำงานไปได้สักระยะ อายุ 27-28 เราจะรู้ว่าเราชอบอะไร เราถนัดอะไร จะเบนเข็มไปทางไหน
มนุษย์พันธุ์ T ลองมองตัว T แล้วนึกภาพตาม เก่งในแนวกว้าง และเก่งในแนวดิ่ง เก่งในด้านที่เราถนัดมากๆ ถ้าเราค้นหาตัวเอง เจองานที่เรารักและชอบ มันจะรู้สึกว่างานเป็นของเรา เป็นชีวิตของเรา
Passion สำคัญมาก ทำให้รู้ว่าเรารักอะไร ชอบอะไร อยากทำอะไร ถนัดอะไร แต่อย่าไปกลัวความล้มเหลว เพราะคนดังๆ ที่มีชื่อเสียงก็เคยล้มเหลวอย่าง Steven Spiellberg ก็ยังทำหนัง fail ถึง 3 ครั้ง ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ เริ่มต้นใหม่ได้
อีกเรื่องที่สำคัญคือ connect the dot แต่ละคนมีจุด (dot) ไม่เหมือนกัน ทุกๆก้าวๆ ทุกๆประสบการณ์ที่ผ่านมา เชื่อมโยงเป็นเราในวันนี้ และการทำงานในองค์กรใหญ่ อย่าเกี่ยงงาน มันจะดีต่อตัวเราเอง ถ้าเป็นไปได้รับงานใหญ่มาทำ จะฝึกให้เราทำงานเป็น มีประสบการณ์ และหากเราออกมาทำธุรกิจตัวเองเราก็เคยทำงานใหญ่ๆมาแล้ว
twitter เป็นอีก dot ที่ทำให้เจอคนแปลกหน้า เจอคนใหม่ๆ หลากหลายวงการ กว้างขึ้น และการทำงานไม่ตรงสายที่เรียน อย่าง Steve Jobs เคยเรียนทำตัวอักษรให้สวย หลายคนอาจจะคิดว่า เรียนทำไม ทำตัวอักษรให้สวย แต่มันผสานกับการทำงาน การออกแบบผลิตภัณฑ์ Apple ดีไซน์สวย น่าหลงใหล ขาย emotion
และอย่าเป็นน้ำเต็มแก้ว รับฟังคนรอบข้าง เปิดรับอะไรใหม่ๆ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ สนุกกับทุกวันของชีวิต สนุกกับปัญหาที่เข้ามา อย่าคิดว่าเป็นปัญหา แก้ไขและเรียนรู้กับมัน
คุณรัฐวุฒิ เป็น designer ที่ A49 (เมื่อก่อนผมทำงานใกล้ A49 ชอบไปกินข้าว ออฟฟิศสวยดี) บอกว่าคนทำงานดีไซน์ มักจะรู้ว่าตัวเองชอบอะไร และเตรียมตัวมาตั้งแต่ ม.4 ตอนเลือกสายการเรียน คุณรัฐวุฒิแนะนำให้ทำกิจกรรมควบคู่กับการเรียน สำคัญมาก ได้ประสบการณ์จากการทำกิจกรรม หลายบริษัทให้กรอกกิจกรรมที่เคยทำด้วย และหลายๆคนอยากทำงานดีไซน์กับบริษัทดังๆ The Best ดีที่สุด แต่จะต้องตรงกับโครโบโซมของเราด้วย บริษัทยังมีสโลแกน เราก็ควรจะมีสโลแกนของตัวเองด้วย คิดบวก เป็นอีกหัวข้อที่น่าสนใจ ตอนนี้คนทำงานต้องการคนที่มีทัศนคติคิดบวก positive thinking คิดดี คิดบวก แนะนำ ติชม ไม่คิดแง่ลบ
คุณโศรดา จาก brilliant & million บอกเล่ามุมมองจาก Digital Agency เธอชอบการตลาดมาก ชอบดีไซน์แต่สมัยนั้นเป็น DOS (เจ็บใจมาก) ผันตัวมาทำอเจนซี่ หลังจากเคยเป็นแอร์ ชอบพบปะผู้คน ได้ไปหลายประเทศ ชอบไปเดิน Super Market เรียนรู้ว่าเขากินอะไร แพ็คเกจจิ้งเป็นยังไง คุณโศรดาทำงานกับเด็กจบใหม่เยอะ ความสุขคือการทำงานกับคนมีพลัง มีไฟ สนุกกับการทำตามความฝัน และเห็นด้วยกับ passion เพราะมันขับเคลื่อนทุกอย่างจริงๆ passion drive everything สำหรับคุณโศรดา เคยทำงานมาหลายที่ เขามองในทุก 5 ปี จะทำอะไรต่อไป
คุณโศดรดาแนะนำแรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จในอาชีพ อุปสรรค ปัญหา มีไว้แก้ไข ทำให้เราได้เรียนรู้ งานหนักได้ฝึกฝน มีมุมมอง ทัศนคติที่ดีในการทำงาน รับผิดชอบ ตรงต่อเวลาในการทำงาน กลับดึกก็ยังมาทำงานเช้า
5 ต = ไตร่ตรอง ตั้งใจ ตรงต่อเวลา ตัดสินใจ ต่อเติม
จะเห็นได้ว่า วิทยากรที่มาพูดในงาน แต่ละคนไม่ได้จบในสาขาที่ทำงาน คุณโศรดาจบสังคมศาสตร์ แต่มาทำการตลาด คุณอรนุช ดร.เอกพลจบวิศวะ แต่ทำงานในสายงานอื่นที่ไม่ตรงกับสาขาที่เรียน เปิดมุมมองให้เด็กจบใหม่หางานที่ตนเองถนัด มากกว่าจะยึดติดว่า จบสาขานี้ ต้องทำงานแบบนี้ จะหางานได้ง่ายกว่าและเป็นงานที่เราถนัดจริงๆ
ขอบคุณ Adecco Thailand ที่เชิญเข้าร่วมกิจกรรมดีๆแบบนี้ครับ