Yokekung World

คำแนะนำในการพาเด็กเล็กขึ้นเครื่อง กระเตงลูกเที่ยวเมืองนอก

1901922_814310735255183_1962751920_n

เราพาลูกเที่ยวต่างประเทศมา 2 ทริปแล้ว ทริปฮ่องกง 8 วัน และอินโดนิเซีย 4 วัน พอดีได้อ่านกระทู้ Pantip กระเตงลูกเที่ยวญี่ปุ่น ก็เลยอยากจะบอกเล่าว่า ควรทำยังไงถ้าจะพาเด็กเล็กไปเที่ยวต่างประเทศ​ โดยเฉพาะการนั่งเครื่องบินหลายๆชั่วโมง (ที่ขึ้นหัวข้อบล็อกว่าพาลูกเที่ยวเมืองนอก ไม่ใช่อะไรหรอกนะครับ เพราะต้องนั่งเครื่องบินหลายชั่วโมง คงจะเป็นเรื่องที่หินที่สุดในการเดินทาง ถ้าเที่ยวเมืองไทย นั่งเครื่องแป๊บเดียว อันนี้เอาอยู่สบายๆอยู่แล้ว)

อ่านความเห็นของผมในกระทู้

ก่อนจะไปเมืองนอก อย่างแรกเลยคือ ทำพาสสปอร์ตให้ลูก โชคดีที่เราทำพาสสปอร์ตให้ลูกตั้งแต่ปีก่อน ตั้งแต่ลูกอายุ 11 เดือน ช่วงที่เรากับแฟนไปดูงานที่ไต้หวัน ทำให้ปีนี้ ปีแห่งความฮิตฮอตของการทำพาสสปอร์ต เราจึงไม่มีส่วนร่วมในประสบการณ์ต่อแถวทำพาสสปอร์ตเหมือนตอนนี้ ฮ่าๆ อ้อ ถ้าใครจะพาเด็กเล็กขึ้นเครื่อง อายุ 9 วันก็ขึ้นเครื่องได้แล้วนะครับ แต่ไอ้การทำพาสสปอร์ตนี่อาจจะลำบากสำหรับเด็กเล็กที่เพิ่งคลอด มันจะลำบากในการถ่ายรูปน่ะสิ

ประเมินก่อน พาเด็กเล็กขึ้นเครื่องบินได้ไหม?

อันดับแรก แนะนำให้ตรวจสอบเงื่อนไขจากสายการบิน ผมเดินทางด้วยสายการบิน Air Asia กำหนดให้เด็กเล็ก (Infant) เดินทางได้ตั้งแต่อายุ 9 วัน จนถึง 24 เดือน คือ 2 ขวบ ในวันเดินทาง ตัวอย่างผมกด ดอนเมือง – ฮ่องกง ครับ

จะเห็นได้ว่า ค่าตั๋วเครื่องบิน Infant คิดแค่ 520 บาท เท่านั้น (แล้วแต่สายการบิน / โปรโมชั่น ณ ขณะนั้น) ผมไปเมดาน อินโดนิเซีย ก็ 520 เหมือนกัน กดไปสิงคโปร์ก็ 520 บาท อันนี้คือให้ลูกนั่งตักนะครับ ลองตรวจสอบกับสายการบินที่ท่านจะเดินทางครับ

แต่ถ้าเด็กอายุ 2 ขวบ – 12 ขวบ จะเป็น Kids คือไม่นั่งตักแล้ว ซื้อที่นั่งเลย ราคาเท่าผู้ใหญ่

จะเห็นว่า ค่าโดยสาร Kids อายุ 2 ขวบขึ้นไปก็จะคิดในราคาเหมือนผู้ใหญ่ คือจองที่นั่งเท่าผู้ใหญ่เลย ไม่ได้นั่งตักผู้ใหญ่

จ่ายเงินเพิ่ม ล็อกที่นั่ง ที่ไม่รบกวนผู้โดยสารท่านอื่น

อันดับต่อมา เลือกที่นั่ง แนะนำให้จ่ายเงินเพิ่ม (เพื่อลูกของเรา และไม่ให้รบกวนผู้โดยสารท่านอื่น)

มาดูผังที่นั่งบนเครื่องกันครับ

ผมเลือกล็อกที่นั่ง เพราะเราพาเด็กเล็กมาด้วย ไม่อยากให้ร้องไห้รบกวนคนรอบข้าง ตอนขาไปฮ่องกงก็จัดที่นั่งด้านหน้าสุดของเครื่องเลย (ที่นั่งเป็น ซ้าย 3 – ขวา 3) กว้างขวางมาก สบาย ลูกไม่อึดอัด มีพื้นที่เดินเล่น นั่งเล่นได้ อีกเหตุผลคือใกล้ห้องน้ำ ถ้าเกิดลูกอ้วก ก็วิ่งพาเข้าห้องน้ำ (มีโอกาสเยอะมาก เพราะบนเครื่องสภาพอากาศ ความกดอากาศเปลี่ยน) ถ้าร้องไห้งอแง ก็พาเข้าห้องน้ำทันก่อนเสียงร้องไห้จะดังลั่นเครื่อง

แต่ละเที่ยวบิน รุ่นเครื่องบิน ไม่เหมือนกัน อย่างลำที่ผมไปเนี่ยไม่มี bassinet (ตระกร้าหรือเปลนอนเด็ก) เราก็ให้นั่งตัก แต่ด้วยความที่เป็นที่นั่งหน้าสุด เราก็เลยมีพื้นที่ว่างให้ลูกได้ขยับตัว ยืนบ้าง นั่งตักบ้าง ไม่อึดอัดจนกลายเป็นงอแง อ่านกระทู้ bassinet แนะนำให้เลือกที่นั่งใกล้ทางเดิน และถ้าเป็นที่นั่งแบบ 3 – 3 พ่อแม่ลูกก็อาจจะซื้อที่นั่งไว้เพิ่ม ให้ลูกเอาขาออกด้านนอก ฝั่งทางเดิน หรือพ่อแม่นั่งที่นั่ง 1, 3 แล้วให้ลูกนอนที่นั่งกลางก็ได้

ส่วนขากลับเราล็อกที่นั่งหลังสุด เครื่องของแอร์เอเซีย จะมีห้องน้ำข้างหลัง ตอนเดินทางเครื่องสั่นมาก ลูกจะอ้วก ก็รีบพาเข้าไปห้องน้ำได้ไวและทันการณ์ แถมนั่งข้างหลังก็ไม่รบกวนคนอื่น (แต่เสียอย่างเดียวคือเอนพนักพิงไม่ได้) บางเที่ยวบิน ที่นั่งมักไม่เต็ม คนชอบนั่งตรงปีกเครื่องบิน หน้าๆ กลางๆ มากกว่า พยายามให้ลูกนั่งริมหน้าต่าง เบี่ยงเบนความสนใจเขาได้ง่าย หรือริมทางเดิน ที่ไม่รบกวนผู้โดยสารท่านอื่น

ทำไมเราเลือกที่นั่งด้านหลังสุด (คือจริงๆที่นั่งหน้าสุดล็อกเต็ม) แม้ว่าในภาพจะแสดงเป็น Bad Seat แต่เราเลือกเพราะสะดวกถ้าลูกเกิดอาเจียน ก็วิ่งเข้าห้องน้ำทัน หรือร้องไห้ไม่ยอมหยุดขึ้นมา เราก็พาเข้าห้องน้ำปลอบจนเงียบได้ ถ้าเลือกที่นั่งตรงกลาง เกิดลูกร้องไห้ขึ้นมาแบบไม่หยุด เราเอาลูกเผ่นไม่ได้ เสียงร้องจะรบกวนคนที่โดยสารทั้งเครื่อง ดังนั้น ถ้าเสียเงินเพิ่มเลือกที่นั่ง เลือกไปเถอะครับถ้าพาเด็กเล็กโดยสารไปด้วย ที่ผมบอกนี่ก็จากประสบการณ์นะครับ ไม่ได้เป็นทฤษฎีหรือเอาไปอ้างอิงอะไรได้ ใครเป็นแอร์หรือมีความรู้ช่วยชี้แนะได้นะครับ

เลือกเที่ยวบิน (เวลาบิน) ให้เหมาะสมกับลูก

ปกติแล้วถ้าเราบินไฟลท์เช้า 5-7 โมง เรามักจะต้องถึงสนามบินประมาณ ตี 4 ถ้านับเวลาออกจากบ้านน่าจะตี 3 ลูกจะนอนไม่พอ ง่วง งอแง แน่ๆ ถ้าเป็นไปได้ จำเป็นต้องบินเช้าจริงๆ ให้ลูกนอนในรถแท็กซี่ ตอนเดินทางมาสนามบินเลย แล้วก็กะเวลาดีๆ เดี๋ยวบนเครื่องจะไม่ยอมหลับ แต่ถ้าเลือกได้ เลือกเวลาที่เหมาะสมกับลูกของเรา เราเลี้ยงลูกก็ย่อมจะรู้ใจเขาว่าเวลาไหนเขาควรจะนอน การให้ลูกหลับบนเครื่อง น่าจะเป็นวิธีที่เซฟที่สุด เพื่อไม่ให้รบกวนผู้โดยสารท่านอื่น แล้วก็ตอนที่อยู่ในสนามบิน ถ้ามีเวลา ให้ลูกเดิน ให้ลูกเล่นจนเหนื่อย พอถึงเวลาขึ้นเครื่องก็หลับพอดี และบางครั้งความกดอากาศที่เปลี่ยนแปลง ก็อาจจะทำให้ลูกหลับได้ อ่านแล้วบางท่านอาจจะมองว่า ทรมานลูกหรือเปล่า แต่เราตัดสินใจพาลูกขึ้นเครื่อง เราต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อให้ลูกไม่รบกวนผู้อื่น นี่คือเป้าหมายสูงสุดครับ เพราะเครื่องบินคือสถานที่ปิด เราไม่สามารถขอแวะลงกลางทางได้เหมือนรถยนต์

พาเด็กเล็กไปด้วย เช็กอินออนไลน์ / ผ่านแอพ ไม่ได้

อันนี้ผมก็เพิ่งรู้จากภรรยา ตอนเดินทางพาเด็กเล็กไปด้วย เพราะปกติเวลาเช็กอิน เรามักจะเช็กอินผ่านเว็บหรือแอพ จากนั้นถ้าไม่โหลดกระเป๋าก็เดินผ่าน ตม. เข้าไปได้เลย แค่แสดงหน้าจอเช็กอินบนมือถือ หรือกระดาษที่พรินต์มา แต่ถ้าพาเด็กเล็กไปด้วย แบบนี้ต้องเผื่อเวลาเยอะมาก เพื่อเช็กอินหน้าเค้าเตอร์เท่านั้น ไม่สามารถเช็กอินล่วงหน้าแบบชิลๆผ่านออนไลน์หรือแอพได้

จากประสบการณ์ ผมบอกเลยครับ เผื่อเวลา 5 ชั่วโมงก่อนเครื่องออกเป็นอย่างต่ำ ถ้าคุณจะไปนอก ยิ่งช่วงเทศกาล กว่าจะเช็กอิน กว่าจะกรอกเอกสาร ตม. กว่าจะต่อแถวผ่าน ตม. กว่าจะต่อแถวสแกน x-ray กว่าจะถึงเกต (ถ้ามีเวลาก็แวะช้อป หาข้าวกินได้ ลูกก็ไม่งอแงละ) ยิ่งเผื่อเวลาเยอะยิ่งดีครับ

การยกเว้น ผู้ที่ไม่สามารถเช็กอินผ่านแอพ และออนไลน์ได้ก็คือ ผู้โดยสารที่ตั้งครรภ์ / ผู้โดยสารที่เดินทางกับเด็กทารก / ผู้โดยสารที่ทุพพลภาพและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ / ผู้โดยสารที่อายุต่ำกว่า 16 ปีและเดินทางคนเดียว / ผู้โดยสารที่มีเงื่อนไขทางการแพทย์/ความเจ็บป่วย / ผู้โดยสารเดินทางพร้อมกันมากกว่า 9 คนในหมายเลขการสำรองที่นั่งหมายเลขเดียวผ่านการเช็คอินทางมือถือ/ตู้คีออส ทั้งหมดนี้ไม่สามารถเช็กอินผ่านแอพและเว็บได้ จะต้องเช็กอินที่หน้าเค้าเตอร์เท่านั้น

ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอก คิดว่า ชิลๆ ถามถรรยาว่า เราเช็กอินออนไลน์ หรือแอพไม่ได้เหรอ ภรรยาบอกว่าไม่ได้ พาเด็กไปต้องเช็กอินหน้าเค้าเตอร์เท่านั้น ดังนั้นใครพาเด็กไป แนะนำให้เผื่อเวลาเยอะโคตรๆครับ

อ้อ เวลาที่เราเข้า ตม. ตรวจพาสสปอร์ต อย่างเราไป พ่อ แม่ ลูก ตม.ต้องเข้าทีละคน เราก็อุ้มลูกพร้อมถือพาสสปอร์ตลูกไว้ ส่วนภรรยาก็เข้าไปคนเดียวก่อน ตอนขึ้นเครื่องก็เหมือนกัน ใครอุ้มลูกก็เอาพาสสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินของลูกติดตัวไว้ด้วย

ลืม Passport ลูกทำยังไง

กรณีลืม Passport เด็กเล็ก อันนี้ผมเคยลืมพาสสปอร์ตลูก เดินทางไปขอนแก่น (จริงๆเด็กเล็กเดินทางในประเทศ จะใช้ใบเกิด หรือพาสสปอร์ต) แต่โชคดีที่เคยเขียนบล็อกเรื่องการทำพาสสปอร์ตเด็ก ก็เลยเปิดบล็อกให้เจ้าหน้าที่เค้าเตอร์ดูภาพพาสสปอร์ตลูก เจ้าหน้าที่อนุโลมให้ เพราะมีวันเดือนปีเกิดครบ ข้อมูลครบ แต่ถ้าเดินทางต่างประเทศ การลืมพาสสปอร์ต หมดสิทธิ์เดินทางครับ เพราะถึงเค้าเตอร์จะอนุโลมให้ ยังไงคุณก็ไม่ผ่าน ตม.แน่ๆ เขาไม่อนุโลมเหมือนการเดินทางในประเทศ ที่ไม่ต้องผ่าน ตม. ยกเว้นว่าคุณเผื่อเวลาเดินทางเยอะมากๆก็อาจจะกลับไปเอาพาสสปอร์ตทัน

สิ่งของโปรดลูก ของกินสุดโปรด หลอกล่อระหว่างอยู่บนเครื่อง

อุปกรณ์สำหรับเด็ก แพมเพิทส์ ขวดนม นมกระป๋อง ลูกเราเป็นภูมิแพ้นมวัวก็เลยต้องมีนมพิเศษสำหรับเด็กโดยเฉพาะ หากหมดที่เมืองนอกจะลำบาก เคยไปฮ่องกง 8 วัน แพมเพิร์สหมด หาซื้อตามห้าง บอกเลย แพงมากกกกกกก หาซื้อ ทิชชู่เปียก น้ำชงนมเตรียมไว้ บางสายการบินอนุโลมให้เอาน้ำดื่มเข้าไปขวดเดียว บางสายการบินเราขอแพมเพิทส์ ขอน้ำร้อนได้ บางสายการบินเสียเงินเพิ่ม ต้องศึกษาและสอบถามรายละเอียดให้ดี

อุปกรณ์ช่วยผ่อนแรง เป้อุ้มเด็ก สายจูงเด็ก

ตอนลงเครื่อง ถ้าเราเดินไปเอากระเป๋า แต่หลังต้องแบกเป้ ถือกระเป๋า ขวดนม การมีเป้อุ้มลูกจะช่วยได้มาก ยิ่งของเราพะรุงพะรังมากๆ หรือถ้าลูกพอจะเดินได้แล้ว ก็ใช้สายจูงเด็ก

ต้องบอกว่าสายจูงเด็กเนี่ย สำคัญและจำเป็นมาก ผมพาลูกไปเดินห้าง ไปเมืองนอก ไปที่ต่างๆ จูงลูกให้ลูกเดินเอง ทุกคนที่เห็นมองกันเหมือนเป็นเรื่องประหลาด สายจูงเด็กทำให้ลูกเราเดินได้อย่างอิสระ ไม่ต้องจับมือเขา ให้เขาเดินเอง แต่มีสายจูงช่วยไกด์ให้เขาไม่วิ่งออกไปไกลหรือไม่ต้องกลัวเด็กหลงหรือคนไม่หวังดีขโมยลูกเราไป หรือแม้แต่วิ่งไปที่ถนนอาจโดนรถชนได้หากเราวิ่งไปจับไม่ทัน

บล็อกนี้คงจะเป็นประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่ที่พาลูกขึ้นเครื่องบิน ขอให้สนุกกับการเดินทางและการท่องเที่ยวครับ

Exit mobile version