หยิบ Nextbit Robin ใช้จริง 1 เดือน เมมเต็มจริง กับมือถือ Cloud First
ตอนแรก ที่ได้เครื่อง Nextbit Robin มาทดสอบ กะว่าจะรีวิวตามปกติ แต่เห็นว่า มีเพื่อนๆหลายคนรีวิวเครื่องกันไปแล้ว งั้นเราใช้ มือถือ Cloud First อย่าง Nextbit Robin เป็นเดือนเลยแล้วกัน ดังนั้นบทความนี้ ไม่ใช่รีวิว แต่จะเป็นการบอกเล่า การใช้งาน Nextbit Robin เป็นเครื่องหลัก ใช้งานในชีวิตประจำวันทั้งทำงาน ดูู YouTube ใช้งาน Social Network คุย LINE, ใช้ Facebook Tweitter, IG YouTube อีเมล์บริษัท ถ่ายวีดีโอ ถ่ายรูป และแน่นอนว่า สุดท้ายเมมเต็มเพราะถ่ายวีดีโอเพื่อทำคลิป (ฮาาา)
1 เดือน ที่ได้รับเครื่อง Nextbit Robin สี Midnight Blue มาทดสอบ ผมพกเป็นเครื่องหลักไปทำงานทุกวัน หลายครั้งที่มีเพื่อนทักว่ามือถืออะไร บางคนก็ทักว่า ใช่ Nextbit หรือเปล่า เอ๊ะ หลายคนสนใจรุ่นนี้และรู้จักอยู่เยอะแฮะ
เรื่องสเปคไม่ขอพูดเยอะ รายละเอียด ขอเป็นการบอกเล่า โดยโทรศัพท์มือถือ Nextbit Robin เกิดมาภายใต้คอนเซปต์ Cloud First มีพื้นที่ให้เอาแอพ ข้อมูลบนเครื่องไปเก็บไว้บน Cloud 100GB ทำให้พื้นที่เครื่อง 32GB ไม่เต็ม และเรียกเสียงฮือฮาด้วยดีไซน์สวย เหล่า blogger ตื่นเต้นกับการออกแบบ สีสัน Mint สีฟ้าสวย ตื่นเต้นกับลำโพงคู่ที่ให้เสียงกระหึ่ม จากที่เห็นการรีวิวของเพื่อนๆ Blogger กับการได้จับตัวจริงจากน้องบิ๊ก ยิ่งทำให้ประทับใจเรื่องลำโพงกระหึ่ม แต่เมื่อเราได้ใช้งานจริงยาวๆ ใช้จนเมมเต็ม ก็เลยรู้จัก Cloud First ว่าทำงานยังไง
จากภาพบน ด้านบนและล่าง คือลำโพง Dual speakers ด้านหน้า ไม่มีปุ่ม Home อย่าเผลอกดผิด พร้อม Dual Amplifiers เสียงกระหึ่ม
บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ได้เล่นเกม อย่างมากก็เล่น Pokemon นิดหน่อย แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้เล่นแล้วล่ะ Robin รัน Qualcomm™ Snapdragon 808 เน้น multitasking ได้ดี แต่บางครั้งเจออาการค้าง เนื่องจากบางแอพ Not Responding แต่เปิดแอพเปิดใหม่ก็ใช้งานได้ตามปกติ แรม 3GB ใช้งานได้ไหลลื่นดี ทั้งที่ไม่ได้ปิดแอพที่ไม่ได้ใช้งาน ไม่ได้เคลียร์แรมเลย ถือว่าจัดการหน่วยความจำได้ดีครับ
Nextbit Robin ทัชหน้าจอ สัมผัส 10 จุด
ตัวเครื่องมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 2680 mAh รองรับ Qualcomm™ Quick Charge 2.0 ในกล่องมีสาย USB Type C มาให้พร้อม แต่ไม่มีอแดปเตอร์ (ถ้าจะซื้อ ขายแยก หรือใช้ของเดิม หรือซื้อใหม่ ผมใช้ของ Aukey)
ในกล่อง ไม่มีอแดปเตอร์ ไม่มีหูฟังมาให้ มี 2 อย่างคือมือถือกับสายชาร์จ USB Type-C ใช้ที่ชาร์จเดิมหรือซื้อที่ชาร์จแบบ quick charge ได้ (ในเว็บขายอยู่ 15 เหรียญ) นอกนั้นก็เข็มจิ้มซิมและคู่มือ
ส่วนการพกพา ยอมรับตามตรงว่า ผมใช้มือถือหลายเครื่อง ทุกเครื่องไม่มีเคส ใส่รวมกันในกระเป๋ากางเกงยีนส์เลย แต่ไม่เจอรอยขีดข่วนเลย จุดเด่นของ Nextbit Robin ก็คือใครๆก็ทักเพราะดีไซน์มันแปลกตานั่นเอง
Fingerprint
Nextbit Robin รองรับ Fingerprint ID sensor ตอบสนองดีมาก ปลดล็อกหน้าจอได้ไว แต่จะต้องทำความคุ้นเคยนิดนึง ปกติจะใช้ปุ่ม Power เพื่อกดเปิดหน้าจอให้ Active อันนี้ให้สแกนลายนิ้วมือ โดยใช้นิ้วโป้ง แตะปุ่ม Power ด้านข้าง
อีกจุดเด่นที่ทาง Robin เคลมไว้ก็คือ อิสระในการหารอมอะไรมาลงก็ได้ เพลิดเพลินมากสำหรับคอ geek เค้าบอกว่า unlockable bootloader ปลดล็อกให้ลงได้อิสระ ไม่ว่าจะเป็นรอม CyanogenMod หรือรอมอื่นๆ โดยไม่หมดประกัน (ปกติเวลาหารอมอื่นที่ไม่ใช่รอม official มาลง จะทำให้การรับประกันสิ้นสุดทันที แต่เนื่องจากเป็นเครื่องรีวิวที่ยืมมาก็เลยไม่เล่นอะไรมาก
คลิปแนะนำ Nextbit Robin
แนะนำ Cloud First
แนะนำ Nextbit Robin
การใช้งานจริงกับ Cloud First บน Nextbit Robin
สำหรับการใช้งาน Nextbit Robin ปกติแล้ว เราก็ลง App จาก Play Store ตามปกติ โดยหลักๆจะลงแอพบนหน่วยความจำบนเครื่องก่อน ทำให้เรามีแอพบนเครื่องมากมายขนาดภาพบนนี้ แต่หลักๆที่เมมเต็มเพราะผมใช้ถ่ายวีดีโอครับ เมื่อเมมใกล้เต็ม จะมีหน้าจอแจ้งเตือน แต่ไม่ได้บอกให้ลบแอพ เตรียมเน็ตไว้ดีๆ เพื่ออัพแอพที่ไม่ได้ใช้งานขึ้นไปไว้บน Cloud แทน
ในหน้าจอ แจ้งว่า free up space 5 แอพ และ สื่อ 22 ชิ้นถูก archive ทำให้เรามีพื้นที่เหลือ 271 MB
Nextbit Robin จะมี Smart Storage ครับ ถ้าพื้นที่หน่วยความจำหลักเต็ม สังเกตว่ามันจะย้ายแอพ และพวกรูป วีดีโอ ที่ไม่ได้ใช้งาน เอาไปไว้บน Cloud เวลาจะใช้ก็โหลดมาอีกทีนึง แต่พื้นที่ต้องเหลือด้วย ตอนนี้ Cloud 100GB ถูกใช้ไปนิดนึงแล้ว (1024MB = 1GB คูณ 100 เข้าไปก็เยอะอยู่นะ)
ถ้าแอพไหนถูกย้ายไปไว้บน Cloud จะกลายเป็นสีเทา แต่ช่วงนี้ แอพไหนที่ทำไอคอนเป็นขาวดำ อาจจะสังเกตเห็นยากสักหน่อย แต่ไม่เป็นไรครับ จะใช้แอพ มันก็จะโหลดดึงแอพออกมาจาก Cloud มาใช้ ถ้าไม่ได้ใช้มันก็จะหายไปอยู่ใน Cloud อีกรอบ
ยกตัวอย่าง แอพ Pokemon ที่ตอนนี้ไม่ได้เล่นเลย 55 ระบบ Cloud First ก็เลยเอาแอพไปไว้บน Cloud ทำให้ไอคอนเป็นสีเทา (ภาพที่ 1) ถ้าจะใช้ก็กดแตะไอคอนแอพ Smart Storage จะดึงแอพออกมาจาก Cloud เพื่อ Restore แอพ (ภาพที่ 2) ขวาสุด (ภาพที่ 3) คือเอาแอพออกมาจาก Cloud ไว้บนเครื่องเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เมื่อหน่วยความจำใกล้เต็ม แอพจะถูกอัพโหลดไปอยู่บน Cloud ถามว่า 100GB เต็มได้ไหม ก็มีสิทธิเต็มได้ ถ้าถ่ายวีดีโอเยอะๆ ลงแอพเยอะๆ ยังไงก็หมั่นบริหารจัดการแอพบนเครื่อง แต่ก็ถือว่า 100GB กับระบบ Cloud First เป็นแนวคิดที่น่าสนใจครับ
ส่วนแบตเตอรี่ ถือว่าทำได้ดมากๆ ใช้งานเช้าตรู่ยันค่ำ หัวชาร์จเป็นแบบ USB Type-C ทำให้จะต้องพกสายไปด้วยทุกวัน ทุกที่ และยังมี Power Saving Mode ให้ ใช้งานได้อีกครึ่งชั่วโมง
ตัวอย่างภาพถ่าย
เซลฟี่
ส่วนการถ่ายวีดีโอ ได้มีการรีวิวพร้อมกับ DJI OSMO Mobile กันสั่น
สรุป เป็นมือถือ Cloud First ที่มีแนวคิดดี ลำโพงกระหึ่ม สะใจตอนดู Facebook Live สะใจมาก การใช้งานโดยรวมดีครับ และประมาทไม่ได้กับตัวเลขสเปคแบต ที่บางคนมีเสียงยี้ตอนเห็นเลขสเปคแบต แต่เมื่อผมใช้จริงก็พิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้ทั้งวันจริงๆครับ สำหรับเรื่อง Cloud First ดีงาม แต่เตือนให้ตั้งค่าเป็น Wi-Fi ในการโอนแอพไปไว้บน Cloud จะได้ไม่เปลืองเน็ตมือถือครับ
ตัวแทนจำหน่ายโดย Thai Way Products ครับ ขายที่ Lazada มีโปรแถมอแดปเตอร์ชาร์จไฟด้วย (ปกติในกล่องไม่มี)